
- Author, ยัสมิน รูโฟ
- Role, บีบีซีนิวส์
เมื่อชีวิตคุณช่างแสนจะวุ่นวายจนกลายเป็นความเครียดที่เพิ่มขึ้น ไม่แปลกเลยที่คุณจะเดินเข้าไปในห้องไหนซักห้องแล้วก็ลืมว่าทำไมคุณจึงมาที่ห้องนี้ หลงลืมความคิดของคุณไประหว่างทาง หรือการจดจ่อกับงานง่าย ๆ กลายเป็นเรื่องยากลำบาก
โดยเฉพาะหลังจากวันหยุดสุดสัปดาห์ การจะกลับเข้าสู่โหมดการทำงานหรือการเรียนอาจเป็นเรื่องยาก
ความขุ่นมัวทางความคิดนี้มักจะถูกเรียกว่า "ภาวะสมองล้า" (brain fog) และแม้ว่ามันจะไม่ใช่อาการป่วย แต่มันคือกลุ่มอาการด้านการรู้คิดเช่น การขาดสมาธิ การหลงลืม และการคิดช้า
สาเหตุของการเกิดภาวะเช่นนี้อาจจะมาจากอาการวัยทองหรือในระยะก่อนหมดประจำเดือน นอกจากนี้ มันอาจจะมาจากการที่คุณคิดอะไรอยู่ในหัวมากเกินไป
ดร.ธารากา แพทย์และผู้เชี่ยวชาญประจำรายการมอร์นิง ไลฟ์ (Morning Live) มี 4 เคล็ดลับและ 1 ตัวช่วยพิเศษที่จะช่วยคุณข้ามผ่านภาวะนี้
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and continue reading
ได้รับความนิยมสูงสุด

"เราระงับตามจำนวนเงินที่โอนเข้าไป ไม่ใช่อายัดทั้งบัญชี" เรารู้อะไรแล้วบ้าง ปมอายัดบัญชีป่วน ?

ไขปริศนาชายแปลกหน้าโผล่ในงานแต่งงานที่คู่บ่าวสาวไม่ได้เชิญในสกอตแลนด์
See Alsoท็อป จรณ เปิดใจเกี่ยวกับความรักเก่า ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ความสำเร็จและความเป็นเพื่อนรีวิวหนัง Him ตำนานคนจริง | ระทึกขวัญ สยองขวัญ พร้อมสปอยล์Unboxing and Review: HUAWEI Pura 80 - Ultra Chroma XMAGE Camera and 66W Fast Chargingรัฐมนตรีสธ.คนใหม่ต้องเข้าใจระบบสาธารณสุข ผลักดันกฎหมายแยก สธ.ออกจาก ก.พ. เพื่อปฏิรูปสุขภาพ
สรุปคำสั่งศาลฎีกา "คดีชั้น 14" 2 ข้อกฎหมาย 3 ข้อเท็จจริง ที่ทำให้ ทักษิณ ต้องกลับเข้าเรือนจำ

ไทเลอร์ โรบินสัน ผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับหลังสารภาพกับพ่อว่ายิง ชาร์ลี เคิร์ก เป็นใคร?
End of ได้รับความนิยมสูงสุด
1. ใจดีกับตัวเอง
ภาวะสมองล้าอาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ และมันไม่ได้หมายความว่าคุณกำลังล้มเหลวหรือเป็นสัญญาณว่าคุณรับมือกับสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้
โดยมากแล้ว มันแค่เป็นวิธีการของสมองที่จะบอกคุณว่า มันเหนื่อยแล้วนะ มันเครียดแล้ว หรือคุณใช้งานมันมากเกินไป
เตือนตัวเองเถิดว่าภาวะสมองล้ามักจะเป็นเพียงอาการเพียงชั่วคราว และมันก็โอเคหากว่าคุณจะทำอะไรช้าลงบ้าง กระจายภาระงานให้คนอื่น หรือขอความช่วยเหลือในเวลาที่คุณต้องการ
แต่หากคุณกังวลเกี่ยวกับมันจริง ๆ คุณก็ควรติดต่อแพทย์ประจำตัว
2. สร้างกิจวัตร
การมีจังหวะของชีวิตที่กำหนดไว้แล้วในแต่ละวันจะช่วยลดความเหนื่อยล้าจากการที่ต้องตัดสินใจ โดยการมีโครงสร้างที่คาดเดาได้ (predictable structure) ในชีวิตประจำวันสามารถช่วยลดแรงกดดันต่อ "ความจำใช้งาน" (working memory) ของคุณ
เมื่อคุณรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในลำดับต่อไป สมองของคุณจะหยุดถามซ้ำ ๆ ว่า "วันนี้ฉันจะทำอะไรดี?"
การสร้างกิจวัตรในทุก ๆ เช้าและเย็นเป็นเรื่องที่คุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ธรรมดามาก ๆ อย่างเช่นการพับผ้าเก็บในตู้ หรือการเตรียมอาหารเช้าไว้ล่วงหน้า สิ่งเหล่านี้จะช่วยทำให้หัวคุณโล่งขึ้นจากที่ต้องตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา
3. พักบ้างก็ได้

ที่มาของภาพ, Getty Images
การจดความตั้งใจของคุณลงในสมุดบันทึกโดยไม่เว้นช่องให้หายใจเลยนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการประชุม งานสังคม กิจธุระต่าง ๆ หรือภาระงานประจำวัน
แต่ในทางปฏิบัติแล้ว การกระโดดจากสิ่งหนึ่งไปยังอีกสิ่งโดยทันทีและทำเช่นนั้นอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้สมองของคุณไม่มีเวลาปรับสภาพกลับมาใหม่ (reset) เลย และยิ่งเพิ่มแนวโน้มของการเกิดภาวะสมองล้ามากขึ้น
ลองตั้งใจจัดตารางเวลาพักสั้น ๆ ระหว่างกิจกรรม แม้จะเพียง 5-10 นาที เพื่อยืดเหยียดร่างกาย ดื่มน้ำ เดินออกไปข้างนอก หรือนั่งเงียบ ๆ บ้าง
คิดเสียว่านี่เป็น "แนวกันไฟ" ทางความคิด มันคือการให้โอกาสหัวคุณได้คิดว่า คุณเพิ่งทำอะไรไปแล้วบ้าง ปล่อยวางความเครียดที่ค้างคา และเตรียมตัวสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นถัดไป
4. ใช้ปฏิทินและการแจ้งเตือน
การพยายามจะจดจำทุกการนัดหมายและภาระงานต่าง ๆ ไว้ในหัวของคุณเอง อาจนำไปสู่ภาวะที่ทำให้คุณรู้สึกว่ามีอะไรก็ไม่รู้อยู่เต็มสมองไปหมด และนำไปสู่การหลงลืม
ให้เทคโนโลยีจดจำเรื่องเหล่านี้แทนคุณเถอะ ใช้ปฏิทินและการแจ้งเตือนเพื่อเพิ่มที่ว่างทางความคิด
ตั้งเวลางานที่เกิดขึ้นเป็นประจำให้เป็นอัตโนมัติ ยกตัวอย่างเช่น กำหนดช่วงเวลาในการรับประทานอาหารเที่ยงในแต่ละวันไปเลย หรือตั้งเวลาเตือนความจำประจำสัปดาห์สำหรับการจ่ายบิลต่าง ๆ หรืองานบ้าน
สิ่งนี้จะทำให้คุณไม่ต้องคิดซ้ำ ๆ ว่า "ฉันยังต้องจำอะไรอีกต่อจากนี้"
เทคนิค "Swans" (สวอนส์)

ที่มาของภาพ, Getty Images
นอกเหนือไปจากกลยุทธ์เชิงปฏิบัติประจำวันข้างต้นแล้ว ดร.ธารากา แนะนำเทคนิค "Swans" (สวอนส์) ซึ่งจะช่วยส่งเสริมสุขภาพของสมองและทำให้ความสามารถในการจดจ่อดีขึ้น
ตัวอักษรแต่ละตัวแทนลักษณะนิสัยสำคัญที่สามารถช่วยทำให้หัวโล่งขึ้น และทำให้สมองของคุณทำงานได้ดีขึ้น
- Sleep (การนอน): การนอนหลับเป็นเรื่องที่ผัดผ่อนไม่ได้เลย มันทำให้สมองของคุณมีเวลาที่จะพักและรักษาความทรงจำ คุณควรตั้งเป้าหมายในการนอนหลับอยู่ที่ 7-9 ชั่วโมงในแต่ละคืน
- Water (น้ำ): ร่างกายของเรามีน้ำอยู่ประมาณ 60% และการขาดน้ำแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้คุณรู้สึกไม่มีสมาธิได้ ดังนั้น หาน้ำไว้ให้อยู่ใกล้ตัว และควรจิบมันเป็นประจำ
- Activity (กิจกรรม): การขยับร่างกายช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและออกซิเจนไปสู่สมอง ซึ่งจะช่วยให้คุณคิดได้อย่างปราดเปรื่องมากขึ้น ลองออกไปเดินในระยะสั้น ๆ วิ่งจ๊อกกิ้งเบา ๆ หรือยืดเหยียดร่างกายเป็นประจำ
- Nutrition (สารอาหาร): เติมสารอาหารให้กับสมองของคุณด้วยอาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูป โคลีน (Choline) เป็นสารอาหารที่มีความสำคัญต่อสุขภาพสมอง ดังนั้นการรับประทานอาหารที่มีโคลีนปริมาณสูง อย่างเช่น ไข่ ปลา และถั่วประเภทต่าง ๆ สามารถช่วยให้คุณมีสมาธิและจดจ่อได้ดีขึ้น
- Stress (ความเครียด): ความเครียดสะสมทำให้ร่างกายของคุณเต็มไปด้วยคอร์ติซอล (cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้ร่างกายของคุณตอบสนองต่อความเครียด และฮอร์โมนนี้ก็อาจไปบดบังความคิดของคุณ คุณจึงควรหาวิธีลดความเครียดผ่านการฝึกหายใจ การฝึกสติ และการหางานอดิเรกต่าง ๆ
คุณสามารถเข้าใช้เว็บไซต์ภายใต้ระบบบริการสุขภาพแห่งชาติของสหราชอาณาจักร (NHS) เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาวะสมองล้าและวิธีการจัดการกับภาวะนี้



